บทนำ (Introduction)
การเรียนรู้ (Learning) คือกระบวนการที่ทำให้มนุษย์เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม และความคิด ธรรมชาติในการเรียนรู้ของมนุษย์นั้นมาจากการรับรู้ (perception) แล้วแปลผลด้วยกระบวนการคิด (Thinking) ภายในกลไกของสมอง จากความรู้สึกที่ได้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ด้วยอวัยวะรับการสัมผัส (sensory organs) ประกอบด้วยตา (visual) สำหรับการมองเห็น หู (auditory) สำหรับการได้ยิน จมูก (olfactory) สำหรับการดมกลิ่น ลิ้น (gustatory) สำหรับการชิมรส กาย (skin) สำหรับการสัมผัสทางกาย มนุษย์มีการเรียนรู้ตลอดเวลา กระบวนการเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้จากการอ่าน ฟัง สังเกต การอบรม การใช้เทคโนโลยี ฯลฯ การเรียนรู้มี 2 ลักษณะคือ การเรียนรู้ด้วยตนเอง (Heuristics) หรือ การเรียนรู้ที่มีการสอน (Didactics) การเรียนรู้ที่เกิดจากการสอนจะเกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่ผู้สอนนำเสนอ โดยการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ผู้สอนจะเป็นผู้ที่สร้างบรรยากาศทางจิตวิทยาเอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้ ที่จะให้เกิดขึ้นเป็นรูปแบบใดก็ได้เช่น ความเป็นกันเอง ความเข้มงวดกวดขันฯ ผู้สอนจะเป็นผู้สร้างเงื่อนไข และสถานการณ์เรียนรู้ให้กับผู้เรียน สิ่งต่างๆ ในกระบวนการเรียนรู้สามารถอธิบายได้โดยอาศัยทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning – Theory)
ทฤษฎีการเรียนรู้เป็นแนวคิดที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถอธิบายลักษณะการเกิดการเรียนรู้ โดยได้รวบรวมเป็นองค์รวมเป็นชุดหลักการต่างๆ เพื่ออธิบายเหตุผลการได้มาขององค์ความรู้ การรักษาไว้และการเรียกใช้องค์ความรู้ในแต่ละบุคคล สิ่งเหล่านี้สามารถเป็นแนวทางช่วยให้ผู้สอนใช้เครื่องมือในการเรียนการสอนรวมถึงเทคนิคและวิธีการต่างๆ ที่จะส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ และทำให้ผู้เรียนบรรลุตามจุดประสงค์ในการเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นผู้สอนจะต้องพิจารณาเลือกหรือออกแบบการสอน (Instructional Design) ให้เหมาะสมกันสถานการณ์ เพราะว่าการเรียนรู้ของมนุษย์จะแตกต่างกัน เช่นการเรียนรู้ของเด็กและผู้ใหญ่ก็ไม่เหมือนกัน เด็กจะเรียนรู้ด้วยการเรียนในห้อง การซักถาม ผู้ใหญ่มักเรียนรู้ด้วยประสบการณ์ที่มีอยู่ เป็นต้น
ดังนั้นนักการศึกษาหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษาโดยเฉพาะผู้สอน จึงควรที่จะศึกษาถึงทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎีการสอนเพื่อสามารถออกแบบการเรียนการสอนให้บรรลุตามวัตถุประสงค์
ทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning Theory)
ในทางจิตวิทยา(psychology) และการศึกษา (education) ทฤษฎีการเรียนรู้จะพยายามอธิบายให้เห็นถึงการเรียนรู้ของมนุษย์และสัตว์ โดยจะแสดงถึงความสัมพันธ์ในกระบวนเรียนรู้ ซึ่งพอจะแบ่งเป็นทฤษฎีการเรียนรู้ ตามกรอบแนวคิดด้านปรัชญา ออกได้ 3 กลุ่ม คือ
กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism)
กลุ่มปัญญานิยม (Cognitivism)
กลุ่มสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism)
ทฤษฎีทั้ง3นี้ถือเป็นทฤษฎีพื้นฐาน ที่ได้รับการยอมรับว่าสามารถอธิบายลักษณะของการเกิดการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี ดังนั้นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการศึกษา โดยเฉพาะการออกแบบการเรียนการสอน สามารถใช้เป็นแนวทางในการกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ หรือการจัดการศึกษา สามารถเลือกใช้เครื่องมือ เทคนิคหรือวิธีการต่างๆ ที่จะส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ ทำให้การจัดการศึกษามีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตามเป้าประสงค์ที่ต้องการ
กลุ่มพฤติกรรมนิยม
หลักการสำคัญของการเรียนรู้คือ “กระบวนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม จะสังเกตจากพฤติกรรมใหม่ที่เกิดขึ้น และมีการทำซ้ำจนเป็นอัตโนมัติ”
กลุ่มปัญญานิยม
หลักการสำคัญของการเรียนรู้คือ “กระบวนการคิดก่อนที่จะแสดงเป็นพฤติกรรม พฤติกรรมที่สังเกตได้เป็นเพียงตัวบ่งชี้ถึงขบวนการภายในสมองหรือในจิตใจ ของผู้เรียน”
กลุ่มสร้างความรู้ด้วยตนเอง
หลักการสำคัญของการเรียนรู้คือ “การอ้างถึงหลักฐานในสิ่งที่ที่พวกเราสร้างขึ้น ที่ปรากฏต่อสายตาตัวเราเอง และอยู่บนฐานประสบการณ์ของแต่ละบุคคล”
พื้นฐานของทฤษฎีพฤติกรรมนิยม (The Basics of Behaviorism)
ทฤษฎีการเรียนรู้ ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ จะมีร่องรอยตั้งแต่สมัย อริสโตเติล (Aristotle )จากความเรียงเรื่อง “ความทรงจำ” (Memory) ซึ่งเขียนบรรยายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ โดยเชื่อมโยงเหตุการณ์ระหว่างฟ้าแลบและฟ้าร้อง ต่อมาก็มีนักปรัชญาหลังจากยุคอริสโตเติล เช่น Hobbs (1650), Hume (1740), Brown (1820), Bain (1855) and Ebbinghause (1885) (Black, 1995) และที่โด่งดังยิ่งขึ้นเมื่อมีการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ที่สามารถสังเกตและการวัดได้ (Good & Brophy,1990) ส่วนนักปราชญ์ที่ถือว่าเป็นผู้พัฒนาทฤษฎีนี้ได้แก่
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขของ Pavlov (1849-1936)
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขของ Watson (1878-1958)
ทฤษฎีการเรียนรู้ของ Thorndike (1874-1949)
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขของ Skinner (1904-1990)
จากรากฐานของทฤษฎีพฤติกรรมนิยม เป็นจิตวิทยาที่เน้นการปฏิบัติ เชื่อว่าการกระทำของมนุษย์เกิดจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมภายนอก พฤติกรรมเกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า การเรียนรู้ได้จากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง การเรียนรู้ของกลุ่มนี้ใช้การวัดโดยการสังเกตและทดสอบพฤติกรรม
พื้นฐานของทฤษฎีปัญญานิยม (The Basics of Cognitivism)
เริ่มตั้งแต่ค.ศ.1920 ผู้คนเริ่มค้นพบข้อจำกัดของทฤษฎีพฤติกรรมนิยม ที่อธิบายเกี่ยวกับการเรียนรู้ โดยEdward Tolman ได้ค้นพบจากหนูทดลองว่าการเรียนรู้ของหนู มีการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากายใน เขาเชื่อว่าทฤษฎีพฤติกรรมนิยม ไม่สามารถอธิบายพฤติกรรมเกี่ยวกับสังคมอื่นๆ ได้ เช่นเด็กจะไม่สามารถเลียนแบบพฤติกรรมที่กระตุ้นได้ทุกอย่าง
Bandura และ Walters ได้อธิบายสภาวะเช่นนี้ว่าเป็น การเรียนรู้ที่ได้รับการเสริม จากความรู้เดิม ซึ่งเขาได้เขียนไว้ในหนังสือของเขาชื่อ Social Learning and Personality (1963) ซึ่งเขียนเกี่ยวกับการเรียนรู้สังคมและบุคลิกภาพ
นักปราชญ์ที่ถือว่าเป็นผู้พัฒนาทฤษฎีนี้ได้แก่
ทฤษฎีของ Jean Piaget (1896-1980)
ทฤษฎีของ Miller (1941)
ทฤษฎีของ Jerome S. Bruner (1915)
จากรากฐานของทฤษฎีปัญญานิยม เน้นกระบวนการคิดก่อนแสดงพฤติกรรม เชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ไม่ใช่เกิดจากพฤติกรรมที่เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเท่านั้น การเรียนรู้มีความซับซ้อนมากว่านั้น คือเป็นกระบวนการทางความคิดที่ได้จากประสบการณ์ เป็นการเชื่อมโยงประสบการณ์แล้วการแปลความหมายออกมา เพื่อนำมาแก้ปัญหาต่างๆ การเรียนรู้จึงเป็นกระบวนการทางสติปัญญา ในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ตนเอง
พื้นฐานของทฤษฎีสร้างความรู้ด้วยตนเอง (The Basics of Constructivism)
Bartlett (1932) เป็นผู้บุกเบิกทฤษฎีสร้างความรู้ด้วยตนเอง เขาเชื่อว่าผู้เรียนจะสร้างความจริงด้วยตัวเขาเอง หรืออย่างน้อยที่สุด เขาสามารถอธิบายเกี่ยวกับความเข้าใจได้ โดยอาศัยประสบการณ์ ดังนั้น ความรู้จึงเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วยตนเอง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารู้ ตัวเราเป็นผู้ทำให้เกิดขึ้น สามารถเปลี่ยนแปลงได้และความรู้จะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อได้นำไปใช้หรือทำต่อไป
อย่างไรก็ตามมีความคิดเห็นของเกี่ยวกับทฤษฎีนี้เป็น 2 แนวทางคือ
1.เน้นที่กระบวนการทางสติปัญญา (Constructivism)
2.เน้นทั้งด้านสติปัญญาและสังคม (Social Constructivism)
ทฤษฎีทั้งสองนี้มีรากฐานจากแนวคิดของ Jean Piaget และ Vygotsky
Piaget จะเน้นที่การพัฒนาทางปัญญาของบุคคล โดยการพัฒนาการคิดเชิงเหตุผลที่มีกระบวนการสร้างอย่างต่อเนื่อง เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม
Vygotsky จะเน้นบทบาทของภาษาและการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในการสร้างความรู้
ส่งผลให้สมมติฐานเกี่ยวกับการเรียนรู้และการสร้างผลงานออกมาแตกต่างกัน
ดังนั้นกระบวนการและวิธีการของบุคคลในการสร้างความรู้จากประสบการณ์ รวมทั้งโครงสร้างทางปัญญาและความเชื่อที่ใช้ในการแปลความหมายจากประสบการณ์ นอกจากกระบวนการเรียนรู้จะเป็นการปฏิสัมพันธ์ภายในสมองแล้วยังเป็นกระบวนการทางสังคมด้วย การสร้างความรู้จึงเป็นกระบวนการทั้งด้านสติปัญญาและสังคมควบคู่กันไป
นักปราชญ์ที่ถือว่าเป็นผู้พัฒนาทฤษฎีนี้ได้แก่
ทฤษฎีของ Jean Piaget (1896-1980)
ทฤษฎีของ Vygotsky (1896-1934)
ทฤษฎีของ John Dewey (1859-1952)
จากรากฐานของทฤษฎีสร้างความรู้ด้วยตนเอง เน้นกระบวนการสร้างความรู้ เชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์เกิดจากการสร้างความรู้ด้วยตัวเขาเอง ผู้เรียนจะเป็นผู้จัดกระทำกับประสบการณ์ต่างๆ และต้องแปลความหมายจากประสบการณ์นั้นด้วยตัวเอง การเรียนรู้นอกจากจะเป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ภายในสมองแล้ว ยังเป็นกระบวนการทางสังคมด้วย
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันมีหลักการและทฤษฎีมากมายที่เกี่ยวข้องการเรียนรู้ของมนุษย์ ซึ่งนอกจากทฤษฎีพื้นฐาน 3 กลุ่มนี้ ยังมีทฤษฎีการเรียนรู้ย่อยในแต่กลุ่มอีกมากมาย จะแตกต่างกันออกออกไปแต่ก็มีหลักการโดยรวมคล้ายกัน และที่น่าสนใจจะนำมาศึกษาเพิ่มเติมคือ ทฤษฎีของกลุ่มมนุษย์นิยม (Humanism) เช่น ทฤษฎีด้านความต้องการของ Maslow ทฤษฎีของ Rogers และทฤษฎีของ Combs เป็นต้น
ทฤษฎีการสอน (Instructional Theory)
ทฤษฎีการสอน (Instructional Theories) เป็นหลักการฝึกและจัดประสบการณ์ โดยเน้นที่การแนะนำขั้นตอนโครงสร้างความรู้ และวัสดุอุปกรณ์ เพื่อส่งเสริมสำหรับการศึกษาของมนุษย์ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว ถือกำเนิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1970 ทฤษฎีการสอนในช่วงแรกมี 2 กลุ่ม คือ cognitive และ behaviorist มีรากฐานจากงานของ Benjamin Bloom (1956) ที่มหาวิทยาลัยChicago ชื่อ Taxonomy of Education Objects เป็นหนึ่งในงาน การจำแนกและจัดอันดับของจุดมุ่งหมายการศึกษายุคใหม่และ อีกงานเป็นผลงานเขียนของ Robert M. Gagne (1965) ซึ่งเขาได้ตีพิมพ์ไว้ในหนังสือชื่อ Conditions of Learning สำหรับคณะวิจัยทางการศึกษา มหาวิทยาลัย Florida State
นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงคือ B.F. Skinner เจ้าของทฤษฎีพฤติกรรมนิยม เป็นผู้ที่มีอิทธิพลเป็นอย่างมากต่อทฤษฎีการสอน เพราะว่าสมมติฐานของเขาสามารถทดสอบและพิสูจน์อย่างมีเหตุผลด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ขณะเดียวกันนั้นมันเป็นการยากที่จะแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ของการเรียนรู้ที่เกี่ยวกับกระบวนการคิด (cognitive learning results)
ในบริบทของ E-Learning หลักการทางทฤษฎีการสอนคือสมรรถนะของ Learning Objects
ตลอดจนโครงสร้างและการเสนอเนื้อหา การศึกษาด้วยตนเองจาก animation เป็นตัวอย่างของ Learning Object มันสามารถที่จะนำมาใช้หลายๆ ครั้งเพื่อให้บรรลุผลของการเรียนรู้
ดังนั้นทฤษฎีการสอน (Instructional Theory) คือ ข้อความรู้ ที่แนะนำ / อธิบาย / ทำนาย ปรากฏการณ์ต่างๆ ทางการสอน ที่ได้รับการพิสูจน์ ทดสอบ และการยอมรับว่าเชื่อถือได้ ซึ่งนักจิตวิทยา หรือนักการศึกษาอาจพัฒนาหรือแปลงมาจากทฤษฎีการเรียนรู้ เพื่อนำไปใช้เป็นหลักในการจัดการเรียนการสอนให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้
ทฤษฎีการสอนหนึ่งๆ มักประกอบไปด้วยหลักการสอนย่อยๆ หลายหลักการ
วิธีระบบและการออกแบบการสอน (Systems Approach to Instruction Design)
วิธีระบบกับการสอนได้มีการพัฒนาตั้งแต่ช่วงปี 1950-1960 โดยเน้นบนการสอนแบบต่างๆ เช่น ห้องปฏิบัติการทางภาษา เครื่องช่วยสอน การสอนแบบโปรแกรม การนำเสนอแบบมัลติมีเดีย การสอนด้วยคอมพิวเตอร์ วิธีระบบที่กล่าวมาทั้งหมดสามารถแสดงได้ดัง flow chart ผู้ออกแบบสามารถพัฒนาการสอนตามขั้นตอน ซึ่งมีรากฐานจากกองทัพและโลกธุรกิจ วิธีระบบจะเกี่ยวข้องกับการกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย การวิเคราะห์ทรัพยากร วางแผนปฏิบัติการใหม่ และประเมินผล/ปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
Standard Systems View of Instructional Systems Design
Shirl S. Schiffman, Instructional System Design, Instructional Technology Past Present and Future, Anglin, 1995.
ท.พฤติกรรมนิยมกับการออกแบบการสอน (Behaviorism and Instruction Design)
การตอบสนองของการเรียนรู้ ขึ้นอยู่ประสบการณ์ที่ครูผู้สอนเตรียมให้ ดังนั้นผู้สอนมีหน้าที่จัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมตามวัตถุประสงค์และทำหน้าที่ควบคุมสภาพแวดล้อมต่อผู้เรียน การเรียนรู้จึงเป็นการคิดขึ้นมาโดยผู้สอนที่เน้นไปที่พฤติกรรมและการเสริมแรง เมื่อใช้เทคนิควิธีการในสภาพเช่นนี้ จุดประสงค์การเรียนรู้จึงเป็นพฤติกรรมของผู้เรียน ที่ได้มีการจัดเตรียมไว้ การให้รางวัลก็คือการเสริมแรงนั่งเอง
วิธีการเรียนการสอนที่ใช้กับกลุ่มพฤติกรมนิยม คือ
-การสอนตรง หรือการสาธิต
-การให้ทำแบบฝึกหัด และปฏิบัติ หรือการทำซ้ำ ๆ
-การสอนเกมต่างๆ
เมื่อไรจะใช้แนวการการเรียนสอนตามกลุ่มพฤติกรรมนิยม
ภายใต้เงื่อนไขของทฤษฎีพฤติกรรมนิยมที่มีส่วนส่งเสริม สนับสนุน ทำให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุดต่อการเรียนรู้ เมื่อ :
1.ผู้เรียนไม่มีประสบการณ์หรือมีแต่น้อยมาก ในช่วงแรกๆ ของเนื้อหาวิชานั้นๆ
2.การจดจำข้อเท็จจริงพื้นฐาน หรือการตอบสนองอย่างอัตโนมัติที่ต้องการให้เกิด
3.ภาระงานที่ต้องการเสร็จสมบูรณ์เพียงเล็กน้อย (งานเล็กๆ) ซึ่งไม่เบี่ยงเบนไปจาก
มาตรฐานการปฏิบัติการ
4.ผู้เรียนจะเกิดความรู้ โดยการเสริมแรงอย่างต่อเนื่องในพฤติกรรมที่ต้องการ
5.ต้องการความถูกต้องและความรวดเร็วซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก
6.การเรียนการสอนต้องการให้เกิดผลสำเร็จภายในช่วงระยะเวลาอันสั้น
ทักษะต่างๆ ที่ควรได้รับการเรียนรู้ตามแนวพฤติกรรมนิยม
1.ชนิดของข้อมูลสารสนเทศพื้นฐาน หรือข้อมูลที่จะนำเข้า
2.การทดสอบ การทดลองพื้นฐาน หรือวิธีการเบื้องต้น
3.ทักษะพื้นฐานง่ายๆ เช่นการเปลี่ยนน้ำมันในเครื่องยนต์
4.ทักษะพื้นฐาน เช่นการสะกดคำหรือตารางธาตุ
5.การพูดด้วยเจตนาที่จะช่วยเหลือ จากถ้อยคำที่จัดเรียงลำดับอย่างเป็นระเบียบ
ข้อควรระวังในการจัดการเรียนการสอนตาม ท.พฤติกรรมนิยม
การเรียนการสอนตามแนวพฤติกรรมนิยม มิได้เตรียมการเพื่อให้ผู้เรียนนำไปใช้ ในการแก้ปัญหาหรือการคิดสร้างสรรค์ ผู้เรียนทำในสิ่งที่พวกเขาได้รับฟังและจะไม่สามารถความคิดวิเคราะห์หาหนทางด้วยตนเองต่อการเปลี่ยนแปลง หรือพัฒนาปรับปรุงเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ให้ดีขึ้น ผู้เรียนเป็นผู้ถูกเตรียมการสำหรับให้ระลึกได้ในข้อเท็จจริงพื้นฐานต่างๆ โดยให้มีการตอบสนองอย่างอัตโนมัติเท่านั้น
ท.ปัญญานิยมกับการออกแบบการสอน (Cognitivism and Instruction Design)
ครูผู้สอนต้องเตรียมหนทางที่จะช่วยเหลือกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนเกี่ยวกับข้อมูลสารสนเทศ สิ่งสำคัญก็คือการนำเสนอข้อมูลสารสนเทศให้ชัดเจนและเป็นข้อมูลสารสนเทศชนิดที่มีเหตุมีผล ผู้เรียนต้องจัดการกับข้อมูลสารสนเทศโดยการจำแนกแยกแยะไตร่ตรองและประมวลผล
ข้อมูลสารสนเทศเหล่านี้ ดังนั้นการทำให้เป็นผลงานชิ้นใหญ่ๆ และมีลำดับขั้นตอนอย่างเป็นเหตุ
เป็นผลจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
วิธีการจัดการเรียนการสอนที่ใช้กับแนวคิดกระบวนการปัญญานิยม มีดังนี้
1.จัดอภิปราย เพื่อเปิดโอกาสให้ถกปัญหาและการให้เหตุผล
2.จัดทำโครงงานที่มีความยุ่งยาก เพื่อฝึกให้แก้ปัญหา
3.การเปรียบเทียบ หรือถ้อยคำ สำนวนอุปมา อุปมัย
4.การจำแนก แยกแยะหรือการให้ทำงานเป็นชิ้นเป็นอันของข้อมูลสารสนเทศ ภายใต้
เหตุผลของกลุ่มผู้เรียน
5.การให้เขียนสำนวนหรือคำประพันธ์สั้นๆ เช่นการย่อข้อความที่ช่วยให้ผู้เรียนจำได้
เมื่อไรควรใช้การการเรียนสอนตามแนว ท.ปัญญานิยม
ภายใต้เงื่อนไข ท.ปัญญานิยมที่จะสนับสนุนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อการเรียนรู้ คือ
1.ผู้เรียนมีประสบการณ์เกี่ยวกับเนื้อหาสาระหรือมีความสัมพันธ์ในขอบเขตขององค์
ความรู้นั้นอยู่แล้ว
2.แหล่งการเรียนรู้มีจำนวนมากพอ ที่จะช่วยให้ผู้เรียนเชื่อมโยงองค์ความรู้เดิมไปยัง
เนื้อหาสาระก่อให้เกิดองค์ความรู้ใหม่ได้
3.ผู้เรียนมีความจำเป็นหรือมีความต้องการแสวงหาแนวทางเพื่อให้เกิดการพัฒนา
ความเข้าใจมากขึ้นในองค์ความรู้และในข้อมูลสารสนเทศนั้นๆ
4.เวลาแห่งการเรียนการสอนเพื่อเกิดการเรียนรู้เกิดความเข้าใจ มิได้จำกัดเวลา
ทักษะต่าง ๆ ที่ควรได้รับการเรียนรู้จากกระบวนการสอนตาม ท.ปัญญานิยม
1.ความสามารถพื้นฐานคอมพิวเตอร์ที่มีความยุ่งยาก หรือปัญหาต่างๆ
เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของเครื่องจักร
2.การจัดจำแนกแยกแยะความเสียหายหรืออันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น
3. อธิบายและจำแนกวัตถุต่างๆ ที่มีความเสี่ยงต่ออันตราย การเคลื่อนย้ายและการ
เก็บรักษาอย่างอย่างถูกต้อง
4.การกะประมาณเวลาของการออกคำสั่งหรือการสั่งการใดๆ
ข้อควรระวังในการจัดการสอนตามกระบวนการ ท.ปัญญานิยม
ผู้เรียนต้องมีองค์ความรู้พื้นฐานของเนื้อหานั้นๆ อยู่บ้าง และสามารถเชื่อมโยงความรู้เดิมของพวกเขาให้เป็นภาพองค์รวมได้ทั้งหมด การเรียนรู้บางครั้งก็บิดเบี้ยวไม่ตรงกับความจริงจากสิ่งที่ผู้เรียนรู้ทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์
ท.สร้างความรู้ด้วยตนเองกับการออกแบบการสอน (Constructivism and Instruction Design)
ผู้ที่จะจัดการเรียนการสอนควรออกแบบการเรียนการสอนเพื่อที่ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสในการแก้ปัญหาที่มีความหมายจริงๆ และเป็นปัญหาในชีวิตจริงของผู้เรียน ซึ่งผู้เรียนแต่ละคนต่างก็มีความต้องการและมีประสบการณ์ สามารถประยุกต์นำไปใช้ในโลกแห่งความเป็นจริง และต้องการสร้างองค์ความรู้เหล่านั้น ผู้จัดการเรียนการสอนควรจัดเตรียมหากลุ่มหรือชุดกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและได้คิดแก้ปัญหาต่างๆ ผู้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนควรช่วยเหลือโดยการแนะแนวทางและสั่งสอน
วิธีการจัดการเรียนการสอนเมื่อใช้แนวคิดของ Constructivism จะเป็นการเรียนการสอน ดังนี้
1.กรณีศึกษาหรือการแก้ปัญหาเพื่อการเรียนรู้
2.การนำเสนอผลงาน/โครงงานให้ปรากฏแก่กลุ่มหลายด้าน หลายมิติหรือการจัดทำสื่อแนะแนวทาง
3.การกำกับดูแลหรือการฝึกงาน
4.การเรียนรู้ร่วมกัน (collaborative learning)
5.การเรียนรู้โดยการสืบค้น (Discovery learning)
6.การเรียนรู้โดยการกำหนดสถานการณ์
เมื่อใดควรใช้การเรียนการสอนแบบ Constructivism
ภายใต้เงื่อนไขที่ Constructivism มีส่วนสนับสนุนทำให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ
1.การเรียนการสอนจะเกิดขึ้นในกระบวนการที่ได้มีการปฏิสัมพันธ์ต่อกันระหว่าง
ผู้เรียนต่อผู้เรียน
2.ผู้เรียนจะรวบรวมองค์ความรู้ปัจจุบันที่มีอยู่แล้ว จากความเข้าใจอย่างลึกซึ้งกับ
ความเข้าใจในสถานการณ์ใหม่ๆ ที่ได้มา
3.แหล่งการเรียนรู้หรือทรัพยากรที่หลากหลายมีลักษณะที่แตกต่างกัน จำนวนมาก
เท่าที่สามารถจัดหามาได้ เพื่อช่วยเหลือต่อการสืบค้น
4.มีเวลาเพียงพอที่จะสามารถทำผลงาน/โครงงาน/การปฏิบัติการได้ สำหรับผู้เรียนใน
การสืบค้นและประมวลผลองค์ความรู้
ทักษะต่างๆ อะไรที่ควรได้รับการเรียนรู้ตาม ท.Constructivism
1.การประดิษฐ์คิดค้นผลงาน ด้วยความรวดเร็วจากการใช้กระบวนการของ
คอมพิวเตอร์
2.การสร้างสิ่งที่ท้าทายใหม่ๆ และสมจริง
3.การวิเคราะห์หาวิธีแก้ปัญหาด้วยตัวเขาเอง
ข้อควรระวังของการเรียนการสอนตามแนว ท.Constructivism
ผู้เรียนมีความต้องการความรู้ที่มีความหมายและมีนัยสำคัญต่อผลการเรียนรู้ของเขาการเรียนการสอนมิใช่ว่าจะมาทำนายว่าพวกเขามีความรู้ความสามารถมากน้อยเพียงใดเพราะว่าผู้เรียนต่างกำลังสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง Constructivism มิใช่เป็นการทำงานแต่เพื่อผลของการสร้างงาน การสร้างผลงานต่างๆ ต่างก็ต้องการผลงานเหมือนกันทุกครั้งไป ตัวอย่างเช่น การรวบรวมเส้นทางของรถยนต์ การมุ่งที่จะตรวจสอบผลงานหรือการทำงาน ดูผลผลิตซึ่งไม่ตรงกับแนวคิดของ Constructivism
บทสรุป
ทฤษฎีการเรียนรู้พื้นฐานทั้งสามทฤษฏีต่างมีความสำคัญ (รวมทั้งทฤษฎีการเรียนรู้อื่นใน แต่ละกลุ่ม) ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจำเป็นต้องศึกษาให้เข้าใจทุกทฤษฎีการเรียนรู้ ตลอดจนถึงนำความรู้ด้านมนุษย์วิทยามาใช้ร่วมด้วย เพื่อที่จะสามารถเลือกหรือตัดสินใจได้ เมื่อมีการนำมาใช้และใช้ได้อย่างเหมาะสมกับสภาวการณ์ของการเรียนการสอนแต่ละครั้ง การมองภาพทางทฤษฎี จะมีความเป็นไปได้ที่จะสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน ความพยายามที่จะเรียนรู้ทางยุทธวิธีบางทีก็มีความซับซ้อนและมีความเลื่อมล้ำกันอยู่บ้างและก็มีความจำเป็นเหมือน ๆ กัน ในการวบรวมยุทธวิธีต่าง ๆ จากความแตกต่างที่เป็นจริงทางทฤษฎี เมื่อเรามีความต้องการ สิ่งสำคัญและจำเป็นที่สุดที่ต้องพิจารณาคือจุดมุ่งหมายของการศึกษา เพื่อแยกแยะและจัดลำดับของพฤติกรรมของผู้เรียนในการเรียนรู้ ให้ได้แล้วแจกแจงออกเป็นพฤติกรรมระดับต่างๆ จากง่ายไปยาก เพื่อสะดวกต่อการจัดการเรียนการสอนและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียน ให้เกิดการเรียนรู้ตามจุดมุ่งหมาย การวิเคราะห์ผู้เรียนจึงเป็นสิ่งจำ เป็นอันดับแรก ก่อนที่จะทำการออกแบบหรือวางแผนระบบการสอน โดยวิเคราะห์ผู้เรียนว่า มีอะไรบ้างที่ผู้เรียนต้องการเรียนรู้ อะไรบ้างที่ผู้เรียนมีอยู่แล้ว ปัญหาของผู้เรียนในการเรียนคืออะไร ผู้เรียนมีความพร้อมที่จะเรียนหรือไม่ ฯ หลังจากวิเคราะห์ผู้เรียนในทุกด้านแล้ว ถึงจะเริ่มวิเคราะห์ระบบการสอนหรือออกแบบระบบการสอน
การออกแบบระบบการสอน เมื่อทำการวิเคราะห์ผู้เรียนแล้ว ผู้ออกแบบสามารถเลือกใช้ทฤษฎีการเรียนรู้และทฤษฎีการสอนที่มีความสอดคล้องและสัมพันธ์กับจัดลำดับของพฤติกรรมของผู้เรียนในการเรียนรู้ให้เหมาะสม โดยนำวิธีการวิธีวิเคราะห์ระบบ ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจระบบ ในการจัดการเรียนการสอนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ในการวิเคราะห์ระบบการสอน จะพิจารณาจากองค์ประกอบการสอน คือ ความมุ่งหมาย (Goals) สภาพการณ์ (Conditions) แหล่งการเรียน/ทรัพยากรการเรียน (Resources) และผลที่ได้ (Outcomes) เมื่อวิเคราะห์ตามหัวข้อต่างๆ แล้วจะทำให้เราสามารถสร้างแบบจำลองระบบการสอน (Instructional Models) หรือออกแบบการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เอกสารอ้างอิง
กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์. เทคโนโลยีเทคนิคศึกษา. กรุงเทพฯ : สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 2536.
ไชยยศ เรืองสุวรรณ. เทคโนโลยีการศึกษา : หลักการและแนวปฏิบัติ. กรุงเทพฯ : วัฒนาพานิช, 2526.
Brenda Mergel. University of Saskachewan, May,1998.
at http://www.usask.ca/education/coursework/802papers/mergel/brenda.htm
Joan Slick. TVI Professional Development Center 12/02
at http://www.planet.tvi.cc.nm.as/ide/Document/Learning...
http://en.wikipedia.org/
WWW.my_ecoach.com/idtimeline/Learningtheory.html